A His-story of SEA: Of Myth and Men
ตำนาน “คุณเหี้ย” บรรพบุรุษของชาวอันดามัน กับนิทานกำเนิดโลกและน้ำท่วมใหญ่ในเอเชียอาคเนย์ก่อนยุคประวัติศาสตร์
ผู้เขียนเชื่อว่าหลายคนที่ชอบศึกษาประวัติศาสตร์-โบราณคดี
ส่วนมากมีแรงบันดาลใจมาจากความชื่นชอบอะไรที่เป็นเรื่องราว (story) และการประติดประต่อจิ๊กซอชิ้นเล็กชิ้นน้อยที่กระจัดกระจายมาลำดับให้เป็นเรื่องราวก็เป็นอะไรที่สนุกและท้าทาย
แต่สำหรับยุคก่อนประวัติศาสตร์ซึ่งไม่มีบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษร
หรือหลักฐานเชิงประจักษ์ ทำให้เรารู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นในยุคดังกล่าวน้อยมาก
นอกจากหลักฐานประเภทตำนาน (legends, myths, folklores, folktales, oral tradition)
นับตั้งแต่มนุษยชาติถือกำเนิดขึ้นมา ก็มีความสงสัยใคร่รู้ในทุกเรื่อง
จึงประดิษฐ์ตำนานขึ้น เพื่อใช้อธิบายความเป็นมาของสิ่งต่าง ๆ เช่น กำเนิดมนุษย์และโลก
(origin
myth) มีเนื้อหาต่างกันไปตามปัจจัยแวดของสังคมนั้น ๆ เช่น ภูมิประเทศ
ภูมิอากาศ ภาษา ความเชื่อ ประเพณี ฯลฯ
แม้เรื่องราวเหล่านี้จะอาศัยจินตนาการมากกว่าความรู้ แต่ถ้าปราศจากตำนาน
เราก็ไม่มีอะไรให้โต้แย้งด้วยกระบวนการวิทยาศาสตร์ story ย่อมไม่ใช่ history แต่ history tells a story itself และ every story has its history (งงมั้ย)
บทที่แล้วเราพูดถึงความเป็นมาของมนุษย์ในมุมมองของวิทยาศาสตร์ไปแล้ว
บทนี้ผู้เขียนจะพาผู้อ่านผจญภัยไปในมิติของตำนานบ้าง แต่คงไม่เล่าทุกเรื่อง
โดยจะเริ่มจากความเป็นมาของกลุ่มชาติพันธุ์ที่เชื่อกันว่าเป็นประชากรกลุ่มแรก ๆ
ที่ตั้งถิ่นฐานใน Southeast Asia รวมถึงบริเวณใกล้เคียง
และยังคงอยู่จนถึงปัจจุบัน ซึ่งมักถูกเรียกแบบเหมารวมว่า Negrito(s) ได้แก่ Andamanese บนหมู่เกาะอันดามัน
Semang
(Maniq, Jahai และ Batek) บนคาบสมุทรมลายู Aeta, Ati, Batak และ Mamanwa จากฟิลิปปินส์ Papuans บนเกาะนิวกินี Melanesians ในเมลานีเซีย
และ Aboriginal
Australians บนทวีปออสเตรเลีย
หลายคนคงทราบกันดีอยู่แล้วว่า Negrito หมายถึง
คนผิวดำเตี้ยเล็ก โดยแรกเริ่ม
ชาวสเปนใช้เรียกชนพื้นเมืองผิวดำในฟิลิปปินส์ตั้งแต่ศตวรรษที่ 16
ซึ่งแน่นอนว่าชาว woke ไม่ปลื้มคำนี้ เพราะมีความหมายเชิงลบและ racism ที่สำคัญคือ
กลุ่มชาติพันธุ์ผิวดำใน Southeast Asia และ Oceania มีความแตกต่างหลากหลายทางพันธุกรรม
เนื่องจากบางกลุ่มมีการสมรส (intermarriage) กับกลุ่มชาติพันธุ์ที่อพยพมาทีหลัง เช่น Austroasiatic และ Austronesian รวมทั้งรับเอาภาษา-วัฒนธรรมจากภายนอกจนเกิดเป็นอัตตลักษณ์ใหม่ตลอดระยะเวลาหลายพันปีที่ผ่านมา
เราไม่มองว่าคนผิวขาวหรือผิวเหลืองเป็นกลุ่มชาติพันธุ์เดียวฉันใดก็ฉันนั้น
อย่างไรก็ตาม ยังมีบางกลุ่มที่ดำรงชีวิตตามวิถี hunter-gatherer และค่อนข้างเก็บตัวจากโลกภายนอก
(isolate)
จนไม่ได้รับอิทธิพลจากภายนอกเลยจนกระทั่งปลายศตวรรษที่
18 เช่น Andamanese peoples และ Aboriginal Australians บางกลุ่ม
ซึ่งมีภาษาเป็นของตัวเอง และคาดว่าเป็นภาษาที่สืบทอดมาตั้งแต่แรกตั้งถิ่นฐาน
บทที่แล้วผู้เขียนกล่าวถึงการอพยพของ Homo sapiens จากแอฟริกาสู่เอเชียในช่วง
70,000-50,000 ปีก่อน
ผ่านเส้นทางสายใต้ (Southern Dispersal) ไปแล้วคร่าว ๆ กลุ่มนี้ประกอบด้วยบรรพบุรุษของ East Asian related ancestry,
Indigenous South Asian hunter-gatherers, Andamanese peoples และ Semang สันนิษฐานกันว่า
ราว 26,000 ปีก่อน
บรรพบุรุษของ Andamanese
peoples เดินทางผ่านบริเวณปากน้ำอิระวดี ตอนใต้ของพม่า ไปยังหมู่เกาะอันดามัน
ซึ่งในยุคนั้นยังเป็นแผ่นดินเชื่อมต่อกัน ส่วนบรรพบุรุษของ Semang เครือญาติที่ใกล้เคียงที่สุดของ
Andamanese
เดินทางต่อไปยังคาบสมุทรมลายู
และบางส่วนอาจเดินทางต่อไปถึงสุมาตรา ชะวา และบอร์เนียว
Andamanese
peoples ในปัจจุบันแบ่งเป็น 5 กลุ่มใหญ่ได้แก่ Great Andamanese และ Jarawa อาศัยอยู่ทางตอนเหนือของหมู่เกาะ, Jangil บนเกาะ Rutland, Onge บนเกาะ Little Andaman และ Sentinelese บนเกาะ North Sentinel กลุ่ม Great Andamanese ยังแบ่งย่อยเป็นอีกหลายกลุ่ม
เช่น กลุ่มตอนเหนือ (Aka-Cari, Aka-Kora, Aka-Jeru และ Aka-Bo) กลุ่มตอนกลาง (Aka-Kede, Aka-Kol, Oko-Juwoi และ A-Pucikwar) และกลุ่มตอนใต้
(Aka-Bea
และ Aka-Bale)
Andamanese
peoples มีตำนานและนิทานพื้นบ้านมากมายหลายสำนวน ส่วนใหญ่มีเนื้อหาสั้น ๆ
กล่าวถึงความเป็นมาของบรรพบุรุษ ซึ่งเล่าไว้ต่างกัน นักมานุษยวิทยาชาวอังกฤษ Alfred Reginald Radcliffe-Brown ได้เรียบเรียงไว้ในหนังสือ
The
Andaman Islanders ตีพิมพ์เมื่อปี 1922
ตำนานส่วนมากกล่าวไว้คล้ายกันคือ มีเทพหรือบรรพชนชื่อว่า Biliku (เพศหญิง
ปรากฏในตำนานทางเหนือ) หรือ Puluga (เพศชาย ปรากฎในตำนานทางใต้) เป็นผู้สร้างโลก
ตะวัน-จันทรา ดวงดาว และมนุษย์ชาย-หญิงคู่แรก
ซึ่งมีชื่อเรียกต่างกันไปในแต่ละกลุ่ม นอกจากนี้ยังสอนวิธีล่าสัตว์ จับปลา
ประดิษฐ์ธนู ฉมวก แห ตะกร้า ฯลฯ
เรียกว่าสอนคู่มือใช้ชีวิตอย่างไรให้อยู่รอดฉบับสมบูรณ์ เช่นเดียวกับ cultural heroes ในตำนานอื่น ๆ
ทั่วทุกมุมโลก
การตั้งชื่อของชาวอันดามันโดยมากจะตั้งตามชื่อสัตว์หรือพืช เช่น Nyali (ต้นไม้ชนิดหนึ่ง)
Maia
Dik (คุณกุ้ง) Maia Totemo (คุณกระเต็น) Da Tigbul (คุณพะยูน) Da Ko (คุณกา) Cana Elewadi (คุณนายปู) Mima Mite (คุณนายพิราบ)
ซึ่งในบางตำนานก็เป็นสัตว์จริง ๆ มีชื่อหนึ่งที่คนไทยน่าจะสนใจเป็นพิเศษคือ Da Duku หรือ Ta Petie (คุณเหี้ย)
ปฐมบุรุษในตำนานของชาว Aka-Bale และ A-Pucikwar ซึ่งมีหลายสำนวน
สำนวนหนึ่งเล่าว่า เดิมทีโลกนี้ไม่มีผู้หญิง จนกระทั่งวันหนึ่ง
คุณเหี้ย (Ta
Petie) พบกับผู้ชายอีกคนชื่อ Kolotat (มะพลับ)
จึงลงมือตัดพวงสวรรค์ของอีกฝ่ายกลายเป็นผู้หญิง แล้วเอามาเป็นภรรยา
ทั้งคู่ให้กำเนิดบรรพบุรุษ (Tomo-la) คนแรกของชาว A-Pucikwar
อีกสำนวนเล่าว่า เดิมทีโลกนี้ไม่มีกลางคืน ตลอดเวลาคือกลางวัน
จนกระทั่งคุณเหี้ยไปขุดมันเทศในป่า และบังเอิญขุดพบยางสนกับจักจั่น
เขานำกลับไปยังที่พัก ขณะที่กำลังนั่งล้อมกองไฟกับคนอื่น ๆ
คุณเหี้ยเอาจักจั่นวางลงบนฝ่ามือแล้วขยี้มันเล่น จักจั่นร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด
ทันใดนั้น แสงสว่างก็หายไป กลายเป็นกลางคืน ไม่กลับเป็นกลางวันอีกเลย
คุณเหี้ยและคณะเอายางสนมาทำเป็นคบเพลิง ร้องรำทำเพลงเพื่อให้กลางวันกลับมา
แต่ไม่ได้ผล จากนั้นจึงทดลองให้สัตว์ต่าง ๆ เช่น นก แมลงเต่าทอง ร้องเหมือนที่จักจั่นทำ
ก็ยังไม่ได้ผล สุดท้ายเป็นมดชนิดหนึ่ง (Konoro) ที่ร้องเรียกกลางวันกลับมาได้
นับแต่นั้นมา เสียงร้องสัตว์ทั้งสองชนิดจึงเป็นสัญญานของกลางวัน-กลางคืน
สำนวนของชาว Aka-Bale เล่าว่า Puluga สร้างมนุษย์ชาย-หญิงคู่แรกคือ
คุณเหี้ย (Da Duku) กับ คุณนายชะมด (In Bain) และมอบไฟให้ทั้งสองใช้ในการดำรงชีวิต
วันหนึ่งเกิดพายุใหญ่ น้ำทะเลท่วมสูงจนกลบแผ่นดิน ไฟก็ถูกฝนจนมอดดับไป
คุณเหี้ยพยายามเอาฟืนที่ยังคุกรุ่นปีนขึ้นไปหลบฝนบนต้นไม้ แต่ก็ปีนลำบาก
คุณนายชะมดจึงรับฟืนท่อนนั้นมา แล้วรีบขึ้นไปยังยอดเขาสูง รักษามันไว้จนพายุสงบ
ต่อมายอดเขาดังกล่าวจึงเรียกว่า ไฟของชะมด (Bain
l’it-capa) อยู่บนเกาะ Havelock (Swaraj) ในปัจจุบัน
ชาวอังกฤษที่เข้ามาปกครองเกาะอันดามันในศตวรรษที่ 19 เล่าว่า
ชาวอันดามันในเวลานั้นยังไม่รู้จักวิธีก่อไฟ พวกเขาจะนำไฟมาจากยางไม้ที่ถูกฟ้าผ่า
รักษาไว้ไม่ให้ดับ และเติมฟืนไปเรื่อย ๆ ในที่เก็บไฟ
ตำนานเกี่ยวกับไฟยังมีอีกหลายเรื่อง และมักเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ (great deluge) ซึ่งชาวอันดามันเชื่อว่า
เป็นสาเหตุที่ทำให้บรรพบุรุษของพวกเขาพลัดพรากจากกันจนแตกออกเป็นหลายกลุ่ม
ตำนานน้ำท่วมโลก (flood myth) นี้เราสามารถพบเห็นได้ทั่วทุกมุมโลก
เช่น มหากาพย์กิลกาเมช ของ Mesopotamia เรื่องราวของ Noah ในไบเบิลก็น่าจะได้รับอิทธิพลมาจากเรื่องนี้
สมัยที่ชาวยิวอาศัยอยู่ในบาบิโลน เรื่องราวของ ดิวเคเลียน ในเทพนิยายกรีก
ตำนานพระมนุและมัตสยาวตาร ในคัมภีร์ปุราณะของฮินดู ตำนานต้าอวี่ (大禹) ปฐมกษัตริย์ราชวงศ์เซี่ยทดน้ำท่วมของจีน และอื่น
ๆ อีกมากมาย เช่น ตำนานของชาวนอร์ส เมโสอเมริกา ม้ง ไท-ลาว เมลานีเซียน ฯลฯ
หลายเรื่องมักตามด้วยตำนานการถือกำเนิดใหม่ของมนุษย์ (recreation) หลังน้ำท่วมหรือภัยพิบัติครั้งใหญ่
ส่วนมากปลูกฝังคติที่ว่า เพราะมนุษย์ทำผิด ธรรมชาติ(เทพ)จึงลงโทษ
ซึ่งก็ยังได้ผลมาถึงปัจจุบัน เราตื่นตัวเรื่อง global warming
ไม่ต่างกับคนสมัยโบราณกลัวผิดผี
ผิดน้ำ ผิดป่า แม้ว่าโดยส่วนตัวผู้เขียนจะไม่ใช่สายกราบเบอร์
แต่ในแง่นี้ไม่เห็นว่าเป็นเรื่องเสียหาย เพราะเป็นคุณกับมนุษย์เอง
นักวิชาการส่วนใหญ่เชื่อว่า
เหตุการณ์ดังกล่าวน่าจะเคยเกิดขึ้นจริงในช่วงปลายยุคน้ำแข็ง (Last Glacial
Period) ราว 115,000-11,700 ปีก่อน ถึงต้นยุค Holocene (11,650
ปีก่อน-ปัจจุบัน) ซึ่งอุณภูมิของโลกสูงขึ้นจนน้ำแข็งเริ่มละลาย
ส่งผลให้ระดับน้ำทะเลสูงขึ้น ซึ่งในช่วง 18,000 ปีก่อนต่ำกว่าปัจจุบันประมาณ 120
เมตร แผ่นดินที่เคยปรากฏค่อย ๆ จมหายไป จนถึง 8,000
ปีก่อนระดับน้ำทะเลจึงใกล้เคียงกับปัจจุบัน
บางทฤษฎีก็กล่าวว่า
เคยมีอุกาบาตรขนาดใหญ่ตกลงในมหาสมุทรอินเดียเมื่อราว 5,000-4,800 ปีก่อน
ทำให้เกิดสึนามิลูกใหญ่ซัดสาดตามชายฝั่ง และอาจส่งผลไปถึงแม่น้ำสายใหญ่ เช่น
ไทกริสและยูเฟรติส เกิดน้ำทะเลหนุนจนท่วมได้
ซึ่งชายฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียนและมหาสมุทรแปซิฟิกก็อาจเคยมีเหตุการณ์ที่คล้ายกัน
แต่เกิดจากการระเบิดของภูเขาไฟ หรือการเคลื่อนตัวของเปลือกโลก
ในภาพประกอบคือ คุณเหี้ย (Da Duku หรือ Ta Petie) แม้บรรพบุรุษในตำนานของบางกลุ่มจะมีชื่อว่าเหี้ย
แต่ชาวอันดามันไม่ได้นับถือบูชาเหี้ย บางครั้งยังล่ากินเป็นอาหารอีกด้วย
พบสันติ์ รุกขรังสฤษฏ์
Comments
Post a Comment