A His-story of SEA: People, Rice Up!
กำเนิดการปลูกข้าวผ่านหลักฐานทางโบราณคดี ตำนานและความเชื่อของชาวม้ง
จ้วง และจีน ที่หลอมรวมวัฒนธรรมกลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ ไว้ด้วยกัน
หลายคนอาจสงสัยว่าทำไมมนุษย์ถึงต้องอพยพย้ายถิ่นฐานตลอดเวลา อยู่เฉย ๆ กันบ้างไม่เป็นหรือ คำตอบคือ เพราะโลกนี้มันโหดร้ายครับ วันดีคืนดีทรัพยากรเกิดขาดแคลน หรือมีพวกป่าเถื่อนมาแย่งแหล่งทำกิน แล้วเราสู้ไม่ได้ จึงต้องเร่ร่อนไปหาที่อยู่ใหม่ นี่คือสิ่งที่มนุษย์ยุคโบราณต้องเผชิญ โดยเฉพาะวิถีชีวิตแบบ hunter-gatherer และ nomadic ซึ่งต้องพึ่งพาทรัพยากรธรรมชาติฝ่ายเดียว
แต่แล้วความเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญก็บังเกิด
เมื่ออุณหภูมิของโลกเริ่มอบอุ่นขึ้นหลังยุคน้ำแข็งราว 14,000 ปีก่อน และมนุษย์เริ่มรู้จัก
“การเพาะปลูก” เมื่อราว 12,000 ปีก่อน ซึ่งเราเรียกว่า Neolithic Revolution หรือ Agricultural Revolution เมื่อมนุษย์รู้จักการปลูกพืชผักสวนครัว
(แต่รั้วกินไม่ได้นะ ทำจากไม้) ก็ไม่ต้องเร่ร่อนหาแหล่งอาหารอีกต่อไป
อีกทั้งยังมีเหลือกินเหลือใช้สำหรับการปศุสัตว์
จึงเกิดชุมชนถาวรจนกลายเป็นแอ่งอารยธรรมในที่สุด อย่างไรก็ตาม
การอพยพย้ายถิ่นฐานยังคงมีอยู่สืบเนื่องมาถึงปัจจุบัน แต่มาจากสาเหตุที่ซับซ้อนขึ้น
เช่น ขาดแหล่งน้ำ เศรษฐกิจไม่พอเพียง ภัยสงคราม โอกาสทางการค้าขาย ฯลฯ
มนุษย์อาจรู้จักพืชล้มลุกบางชนิดมาตั้งแต่ยุค
Palaeolithic
เช่น น้ำเต้า ถั่ว งา เผือก มัน
แต่การเพาะปลูกแบบ crop field เช่น ธัญพืช ข้าวบาร์เลย์ เริ่มปรากฏครั้งแรกบริเวณตะวันออกกลาง หรือที่เรียกกันว่า
Fertile
Crescent และแพร่หลายต่อไปยังยุโรป
ลุ่มน้ำไนล์ เอเชียกลาง และเอเชียใต้ ในช่วงระหว่าง 10,000-8,000 ปีก่อน
แต่พืชเศรษฐกิจที่เราจะพูดถึงในบทนี้ก็คือ “ข้าว” (rice) อาหารหลักของชาวเอเชียตะวันออกและตะวันออกเฉียงใต้มาช้านาน
ข้าวเอเชีย
(Oryza
sativa) มีวิวัฒนาการมาจากข้าวป่า
ประเภทที่รู้จักกันดี ได้แก่ japonica มีเมล็ดเล็กและค่อนข้างเหนียว เหมาะสำหรับทำข้าวปั้นและซูชิ, indica เมล็ดจะใหญ่กว่าประเภทแรก, aromatic เช่น ข้าวหอมมะลิ และ glutinous หรือ ข้าวเหนียว ส่วนข้าวแอฟริกา (Oryza glaberrima) จะเป็นอีกสายพันธุ์หนึ่ง
ซึ่งวิวัฒนาการมาจากข้าวป่าแอฟริกาต่างหาก
จากหลักฐานทางวิทยาศาสตร์และศัพทมูลวิทยา
เป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปว่าข้าวเอเชียมีแหล่งกำเนิดในประเทศจีนราว 10,000 ปีก่อน โดยมีแหล่งปลูกข้าวสำคัญ 2 แห่ง คือ
ตอนกลางลุ่มแม่น้ำหยางจื่อ (หูเป่ย-หูหนาน-เจียงซี)
ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นถิ่นอาศัยของบรรพบุรุษ Austroasiatic และ Hmong-Mien speakers* และปากแม่น้ำหยางจื่อ
(อานฮุย-เจียงซู-เจ้อเจียง) ซึ่งมีบรรพบุรุษของ Austronesian และ Kra-Dai อาศัยอยู่
*คนจีนเรียกชาวม้ง (Hmong) ว่า เหมียว (Miao 苗) และเรียก เมี่ยน (Mien) ว่า เหยา (Yao) ในกลุ่มชาติพันธุ์เหมียว-เหยานี้มี
subgroup
หลายกลุ่ม เช่น Qo Xiong, Hmub, A-Hmao, Gha-Mu รวมทั้งม้ง (เหมียว)
แต่ชาวม้งนอกแผ่นดินจีนรู้สึก offended ที่ถูกเรียกว่า แม้ว (เหมียว ในภาษาไทยและลาว) เชิงดูถูก
(เหมือนแมวมั้ง?)
จึงเปลี่ยนมาเรียกตัวเองว่า ม้ง
แปลว่า อิสระชน คำนี้จึงเป็น modern term และนักวิชาการส่วนใหญ่ก็พลอยใช้คำนี้เรียกกลุ่มชาติพันธุ์เหมียว-เหยาทั้งหมดในจีนด้วย
ในขณะที่ชาวม้งในจีนไม่รู้สึกอะไรสบายดีกับคำว่า เหมียว-เหยา และคิดว่าม้งเป็นแค่ subgroup หนึ่ง ไม่จึงเรียกตัวเองว่า ม้ง
แต่เพื่อความสบายใจของชาวม้ง ผู้เขียนจะใช้คำว่า Hmong-Mien ต่อไปแล้วกัน
ในขณะเดียวกัน
บริเวณลุ่มแม่น้ำหวงทางเหนือ ถิ่นอาศัยของบรรพบุรุษ Sino-Tibetan speakers เป็นแหล่งปลูกข้าวฟ่าง (millet) ทั้งสองแหล่งมีการแลกเปลี่ยนเทคนิคการปลูกข้าวกันราว
6,000 ปีก่อน
รวมถึงแพร่หลายไปยังคาบสมุทรเกาหลี ญี่ปุ่น เอเชียตะวันออกเฉียงใต้
และอินเดียในเวลาต่อมา พร้อม ๆ กับการอพยพของผู้คนบางกลุ่ม
ตอนกลางลุ่มแม่น้ำหยางจื่อมีแหล่งโบราณคดียุค
Neolithic
ที่สำคัญ ได้แก่ วัฒนธรรมเผิงโถวซาน
(彭頭山) อายุราว 7,500-6,100 BCE วัฒนธรรมต้าซี (大溪) อายุราว 5,000-3,300 BCE พบร่องรอยการทำนาแบบ paddy field อย่างแพร่หลาย เมืองโบราณที่เฉิงโถวซาน (城頭山) ตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของทะเลสาบต้งถิง จังหวัดหูหนาน
มีซากกำแพง คูน้ำ คันดิน เป็นชุมชนขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง
และมีพัฒนาการต่อมาในวัฒนธรรมชูเจียหลิ่ง (屈家嶺) ราว
3,400-2,600
BCE และวัฒนธรรมสือเจียเหอ
(石家河) ราว 2,400-2,000 BCE สันนิษฐานกันว่าเป็นแหล่งอารยธรรมโบราณของชาว
Hmong-Mien
speakers
แหล่งโบราณคดียุค
Neolithic
ที่สำคัญบริเวณลุ่มแม่น้ำหวง ได้แก่
วัฒนธรรมเผยหลี่กัง (裴李崗) บริเวณลุ่มแม่น้ำลั่ว (เหอหนาน)
อายุราว 7,000-5,000
BCE มีร่องรอยการปลูกข้าวฟ่างและเลี้ยงสัตว์เช่นเดียวกับวัฒนธรรมฉือซาน
(磁山) บริเวณเหอเป่ย
ซึ่งมีอายุร่วมสมัยเดียวกัน วัฒนธรรมหย่างเสา (仰韶) อายุราว 5,000-3,000 BCE ครอบคลุมบริเวณเหอหนาน ซานซี
และส่านซี เริ่มเป็นชุมชนขนาดใหญ่ เช่น เมืองโบราณเจียงไจ้ (姜寨) ทางตะวันออกของซีอาน พบร่องรอยการผลิตผ้าไหมใช้นุ่งห่ม
และรูปปั้นสัตว์คล้ายมังกร ถัดมาทางตะวันออกบริเวณซานตงคือวัฒนธรรมต้าเวิ่นโข่ว (大汶口) มีจุดเด่นคือ งานแกะสลักหยกและงาช้าง กลองหนังจระเข้
และเครื่องปั้นดินเผารูปสัตว์
ต่อมาราว
3,000-1,900
BCE วัฒนธรรมหลงซาน
(龍山) ก็รับช่วงต่อจากวัฒนธรรมหย่างเสาและต้าเวิ่นโข่ว
พบ symbol
ลักษณะคล้ายอักษรภาพ
ซึ่งเป็นต้นแบบตัวอักษรจีนในยุคต่อมา หลังจากนี้จึงเริ่มเข้าสู่ยุคสำริดในวัฒนธรรมเอ้อหลี่โถว
(二里頭) ราว 1,900-1,500 BCE และเอ้อหลี่กัง (二里崗) ราว 1,600-1,400 BCE ซึ่งนักประวัติศาสตร์บางคนเชื่อว่าตรงกับยุคราชวงศ์เซี่ยและซางในพงศาวดาร
สื่อจี้ (史記) หรือ Records of the Grand Historian เป็นพงศาวดารที่เขียนโดยสองพ่อลูก
ซือหม่าถาน และ ซือหม่าเชียน ราชบัณฑิตสมัยต้นราชวงศ์ฮั่น เสร็จสมบูรณ์เมื่อ 91 ปีก่อน ค.ศ.
นักปราชญ์ยึดถือเป็นตำราประวัติศาสตร์กระแสหลักมาโดยตลอด
มีเนื้อหาย้อนไปไกลถึงยุคบรรพกาลซึ่งปกครองโดย สามกษัตริย์ห้าจักรพรรดิ (三皇五帝) สามกษัตริย์ ได้แก่ เทียนหวง (天皇) ตี้หวง (地皇) และ ไท่หวง (泰皇) ห้าจักรพรรดิ
ได้แก่ หวงตี้ (黃帝) จวนซู (顓頊) กู้ (嚳) เหยา (堯) และ ซุ่น (舜) ตามด้วยราชวงศ์เซี่ย
ซาง โจว ฉิน ฉู่ และฮั่น จบที่รัชสมัยฮั่นอู่ตี้
ทำเนียบสามกษัตริย์ห้าจักรพรรดิแตกต่างกันไปในหลายตำรา เช่น ฟงสูทงอี้ (風俗通義) ระบุว่าสามกษัตริย์ ได้แก่ ฝูซี (伏羲) หนี่ว์วา (女媧) และ เสินหนง (神農)
ใครสนใจสื่อจี้อ่านได้ที่นี่ครับ มีทั้งภาษาจีนและคำแปลภาษาอังกฤษ
(เฉพาะบทแรก ๆ)
หรือฉบับภาษาอังกฤษ ถ้าไม่หงุดหงิดกับการสะกดแบบ Wade-Giles
https://www.sacred-texts.com/cfu/smc/index.htm
เสินหนง หรือ เทพกสิกร เป็นที่เคารพบูชาของชาวจีนในฐานะ cultural hero ผู้สอนให้มนุษย์รู้จักการเพาะปลูกธัญพืช
5 ชนิด ได้แก่
ข้าว ข้าวฟ่าง ข้าวสาลี ข้าวโพด และถั่วเหลือง จึงได้ชื่อว่า จักรพรรดิห้าธัญพืช (五穀先帝) หาอ่านประวัติได้ตามสื่อออนไลน์ทั่วไป ขอไม่เล่าละเอียดนะครับ
แต่อยากนำเสนอประเด็นที่ว่า เดิมทีเสินหนงอาจไม่ใช่เทพของชาวจีน (ฮั่น หรือ
หัวเซี่ย) แต่เป็น cultural hero ของชนเผ่าบริเวณลุ่มน้ำหยางจื่อตอนกลาง
ซึ่งหมายถึง Hmong-Mien
และเครือญาติในตระกูล
Austroasiatic
หรือ Sino-Tibetan บางกลุ่ม
สื่อจี้และปกรณัมจีนส่วนมากระบุว่า
เสินหนงมีถิ่นกำเนิดบริเวณลุ่มแม่น้ำเว่ย (สาขาหนึ่งของแม่น้ำหวง
ไหลผ่านส่านซีและกานซู่) และใช้แซ่เจียง (姜) ชื่อตัวว่า
สือเหนียน (石年) เนื่องจาก 姜 เป็นอีกชื่อหนึ่งของแม่น้ำเว่ย
แต่หากพิจารณาจากสถานที่ ๆ มีความเกี่ยวข้องกับเสินหนง ส่วนใหญ่จะอยู่บริเวณหูเป่ย
เช่น เสินหนงเจี้ย (神農架) แปลว่า
บันไดเสินหนง มีตำนานพื้นบ้านบันทึกเป็นตำราเก่าแก่ถึงสมัยราชวงศ์ถังชื่อ
เฮยอ้านจ้วน (黑暗傳) เล่าว่าสถานที่แห่งนี้กลายสภาพจากบันไดไม้ไผ่ที่เสินหนงใช้ปีนขึ้นลงเขาไปเก็บสมุนไพรเป็นป่าใหญ่
อีกที่หนึ่งคือ เสินหนงซี (神農溪) สาขาหนึ่งของแม่น้ำหยางจื่อในหูเป่ย
เป็นถิ่นอาศัยของชนพื้นเมืองมาตั้งแต่สมัยราชวงศ์ฮั่นเป็นอย่างน้อย เช่น ถู่เจีย (土家) ซึ่งเคลมว่าสืบเชื้อสายมาจากพลเมืองแคว้นปา (巴) ในสมัยชุนชิว
เช่นเดียวกับชาวป๋อ (僰) ซึ่งมีประเพณีการแขวนโลงศพไว้ตามหน้าผา
คล้ายกับชาว Toraja
บนเกาะสุลาเวสี
และ Kankanaey
บนเกาะลูซอน
(เรื่องนี้ขอเล่าโดยละเอียดในโอกาสอื่นต่อไป)
ปัจจุบันชาวถู่เจียและป๋อพูดภาษาตระกูล Sino-Tibetan แต่สันนิษฐานว่าเดิมทีอาจพูดภาษา
Hmong-Mien
หรือ Austroasiatic
เสินหนง ยังถูกเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า เหยียนตี้ (炎帝) หรือ จักรพรรดิไฟ ซึ่งปรากฏตัวในสื่อจี้และปกรณัมอื่น ๆ ตำนานยังระบุไว้ชัดเจนว่า เหยียนตี้เป็นจักรพรรดิแดนใต้ เนื่องจาก cosmology ของจีนจะแบ่งทิศทั้งห้าตามธาตุและสี ได้แก่ ทิศเหนือ สีดำ ธาตุน้ำ ทิศใต้ สีแดง ธาตุไฟ ทิศตะวันออก สีเขียว (คราม) ธาตุไม้ ทิศตะวันตก สีขาว ธาตุทอง ศูนย์กลาง สีเหลือง ธาตุดิน
หวงตี้เป็นตัวแทนศูนย์กลางจักรวาลคือ ธาตุดิน สีเหลือง
ในขณะที่เหยียนตี้เป็นตัวแทนทิศใต้ ธาตุไฟ สีแดง ทิศใต้ของลุ่มแม่น้ำหวง
ซึ่งเป็นถิ่นอาศัยของกลุ่มหวงตี้จึงเป็นที่ไหนไปไม่ได้นอกจากลุ่มแม่น้ำหยางจื่อตอนกลาง
แล้วทำไมชาวจีนต้องเคลมเทพของคนเถื่อนมาเป็นของตัวเองด้วย?
เหยียนตี้ ไม่ใช่ชื่อตัว แต่เป็นตำแหน่ง
ผู้สืบเชื้อสายของเสินหนงทุกคนใช้ title นี้มาตลอด จากเสินหนง > หลินกุ๋ย (臨魁) > เฉิง > (承) > หมิง (明)
> จื๋อ (直) > หลี (釐)
> ไอ (哀) > เค่อ (克)
> อวี๋หวั่ง (榆罔) Lạc Long Quân ในตำนานของเวียดนามก็เคลมเชื้อสายมาจากเสินหนง
แต่เรื่องนี้จะเล่าแยกไว้ในบทอื่นต่อไป
ในสื่อจี้เล่าว่า เหยียนตี้ พ่ายแพ้ให้กับ ชือโหยว (蚩尤) หัวหน้าผ่าจิ่วหลี (九黎) อนารยชนทางตะวันออก
หรือ ตงอี๋ (東夷) (ซึ่งนักวิชาการจีนพยายามเชื่อมโยงกับวัฒนธรรมต้าเวิ่นโข่ว)
ในการศึกที่ป่านฉวน (阪泉) จึงไปขอความช่วยเหลือจากหวงตี้
การศึกที่จัวลู่ (涿鹿) จึงเริ่มขึ้น
ดุเดือดเลือดพล่านอภินิหารตระการตาไม่แพ้สงครามทุ่งกุรุเกษตรในมหาภารตะ
แต่ขอไม่เล่าละเอียดนะครับ สุดท้ายหวงตี้และเหยี่ยนตี้เอาชนะชือโหยวได้
และรวมตัวเป็นเผ่าหัวเซี่ย (華夏 จีน before ฮั่น)
ชาวจีนจึงเรียกตัวเองว่า ลูกหลานเหยียนหวง (炎黃子孫)
น่าแปลกที่ชาว Hmong-Mien ไม่เคลมว่าตัวเองเป็นลูกหลานเสินหนง
แต่กลับเคลมว่าพวกเขาสืบเชื้อสายมาจากชือโหยว
ซึ่งจากถิ่นฐานของเผ่าจิ่วหลีที่อยู่ทางตะวันออก (ซานตง)
และสงครามที่เกิดขึ้นที่จัวลู่ (ปัจจุบันอยู่บริเวณเหอเป่ยและซานซี)
ดูไม่น่าเกี่ยวข้องอะไรกับชาวม้ง ซึ่งจาก genetic research ยืนยันชัดเจนว่า
originate
บริเวณจีนตอนใต้
ไม่ได้มาจากทางเหนือ (อ่านเรื่อง Y-Chromosome Haplogroup O ได้ในบทที่แล้ว)
ในเอกสารชั้นหลัง เช่น ลู่สื่อ (路史) ที่เขียนในศตวรรษที่
12
สมัยราชวงศ์ซ่งใต้ ระบุว่า ชือโหยวสืบเชื้อสายมาจากเสินหนงและใช้แซ่เจียง (姜) เช่นกัน
จากข้อมูลนี้ทำให้พอเข้าใจได้ว่า
ความเชื่อเรื่องชือโหยวเกี่ยวข้องกับชนเผ่าทางใต้มีมาตั้งแต่เมื่อไหร่
และหากพิจารณาจากเส้นทางเผยแพร่วัฒนธรรมปลูกข้าว
บรรพบุรุษของเผ่าจิ่วหลีอาจสืบเชื้อสายมาจากชนเผ่าลุ่มแม่น้ำหยางจื่อตอนกลาง
ก่อนอพยพไปยังเจียงซูและซานตงก็เป็นไปได้อยู่
แต่นักมานุษยวิทยาเชื้อสายม้งอย่าง Gary Yia Lee ก็ยังไม่ปักใจเชื่อว่า
ชาวม้งสืบเชื้อสายมาจากชือโหยว หรือมีความเกี่ยวข้องกับ ซานเหมียว (三苗) ในสมัยเหยา-ซุ่น ซึ่งยังไม่ชัดเจนว่าเป็นชื่อคน ชื่ออาณาจักร
หรือชื่ออะไรกันแน่ โดยชี้ว่า ทั้งหมดเป็นผลมาจากการสร้าง ethnic identity ตามแนวคิดชาตินิยมของม้งพลัดถิ่นในศตวรรษที่
19-20 นี่เอง
ที่ต่อต้านจีนและต้องการสร้าง cultural hero ขึ้นมาเป็นปฏิปักษ์กับจีน
(ตอนอพยพครั้งใหญ่ในศตวรรษที่ 18 ก็ถูกรัฐบาลแมนจูขับไล่มา ไปโกรธอะไรชาวจีนฮั่น?)
ความเป็นมาและเป็นไปของกลุ่มชาติพันธุ์ Hmong-Mien ยังมีอีกมาก
แต่ขอพักไว้ก่อน เพราะยังไม่ได้พูดถึงแหล่งปลูกข้าวสำคัญอีกแห่งคือ
ปากแม่น้ำหยางจื่อ (Yangzi River Delta) แหล่งโบราณคดียุค Neolithic บริเวณนี้ที่เก่าแก่ที่สุดคือ
คั่วหูเฉียว (跨湖橋) บริเวณปากอ่าวหางโจว
อายุราว 6,000-5,000
BCE พบเครื่องปั้นดินเผาและซากเรือแคนู ซึ่งเป็น cultural trait ของ Austronesian
จากนั้นในช่วง 5,000-3,300 BCE วัฒนธรรมเหอหมู่ตู้ (河姆渡) ปรากฏบริเวณปากอ่าว
ในขณะเดียวกันบริเวณทะเลสาบไท่หูปรากฏวัฒนธรรมหม่าเจียปัง (馬家浜) ทั้งสองแห่งพบร่องรอยการปลูกข้าว การเลี้ยงหมู การล่าสัตว์ เช่น ปลา
กวาง และควายป่า พบวัตถุโบราณ เช่น งานแกะสลักหยก งาช้าง ถ้วยไม้ลงยา
เครื่องปั้นดินเผา ทั้งสองแห่งน่าจะมีปฏิสัมพันธ์กับวัฒนธรรมต้าเวิ่นโข่วทางเหนือ
โดยในช่วงปลายของวัฒนหม่าเจียปังราว 3,800-3,300 BCE อาจแบ่งเป็นอีกวัฒนธรรมเรียกว่า
ซ่งเจ๋อ (崧澤)
ราว 3,400 BCE วัฒนธรรมเหลียงจู (良渚) ก็ปรากฏ โดยมี type site อยู่ที่อำเภออวี๋หวง (餘杭) เจ้อเจียง เมืองโบราณเหลียงจู
ถือเป็นเมืองขนาดใหญ่ที่สุดในยุคดังกล่าว
และมีพัฒนาการทางสังคมค่อนข้างเจริญกว่าวัฒนธรรมหย่างเสาทางตอนเหนือ
ผังเมืองเป็นรูปสี่เหลี่ยม มีกำแพงดินและประตูเข้า-ออก 6 ทาง
ใจกลางเมืองเป็นที่ตั้งของพระราชวัง นอกจากนี้ยังพบร่องรอบของยุ้งฉาง สุสาน
แท่นพิธีกรรม บ้านคน ท่าเรือ และโรงงาน
วิถีชีวิตผู้คนใกล้ชิดแหล่งน้ำและเชี่ยวชาญการเดินเรือ จากการตรวจสอบ DNA โครงกระดูกมนุษย์ส่วนมากมี
Y-Chromosome
Haplogroup O1 ซึ่งพบมากในกลุ่ม Austronesian และ Kra-Dai
งานแกะสลักหยกในวัฒนธรรมเหลียงจูที่มีความสวยงามและโดดเด่น ได้แก่ ฉง
(琮) แจกันทรงกระบอก และ ปี้ (璧) หยกรูป disk และ เยว่ (鉞) ขวานหยก
สำหรับใช้ในพิธีกรรม วัฒนธรรมเหลียงจูเจริญรุ่งเรืองถึงขีดสุดราว 3,000 BCE แต่กลับร้างไปในราว
2,250
BCE สันนิษฐานว่าเกิดจากภัยธรรมชาติครั้งใหญ่ เช่น น้ำท่วม
ซึ่งอาจเป็นแรงบันดาลใจของตำนานน้ำท่วมโลกในกลุ่มชาติพันธุ์ Kra-Dai ก็เป็นได้
นักภาษาศาสตร์หลายคนพบความเชื่อมโยงระหว่างภาษา Austronesian และ Kra-Dai จึงมีข้อสันนิษฐานว่าทั้งสองตระกูลน่าจะร่วมรากเดียวกันมาก่อน
โดยตระกูล Kra-Dai
อาจสืบเชื้อสายมาจาก
Austronesian
กลุ่มที่อพยพมาจากไต้หวันสู่จีนแผ่นดินใหญ่บริเวณลุ่มแม่น้ำจู
(Pearl
River)
ในขณะที่นักพันธุกรรมศาสตร์ชี้ให้เห็นความใกล้ชิดทางพันธุกรรมระหว่างกลุ่ม
Hmong-Mien
และ Kra-Dai จึงเสนอว่า
กลุ่มหลังน่าจะแยกตัวออกมาจากกลุ่มแรกลงไปทางใต้บริเวณลุ่มแม่น้ำจูพร้อมวัฒนธรรมการปลูกข้าว
ส่วนความใกล้ชิดทางภาษากับ Austronesian น่าจะเกิดจากการแลกเปลี่ยนในภายหลัง
ข้อสันนิษฐานของทั้งสองฝ่ายล้วนมีน้ำหนัก แต่โดยส่วนตัว
ผู้เขียนคิดว่าบรรพบุรุษของ Kra-Dai น่าจะเริ่มแยกตัวจาก Austronesian ตั้งแต่บริเวณปากแม่น้ำหยางจื่อราว
3,400
BCE บางกลุ่มอพยพลงไปตามชายฝั่ง จากฝูเจี้ยนถึงหลิ่งหนาน
(กว่างตง-กว่างซี-ไห่หนาน)
ในขณะที่บางกลุ่มยังคงอาศัยอยู่บริเวณเจ้อเจียงและซ่างไห่จนถึงยุคชุนชิว (722-481 BCE) เป็นอย่างน้อย
โดยมีหลักฐานสำคัญคือ The Song of the Yue Boatman (越人歌) บันทึกโดยขุนนางแคว้นฉู่เมื่อ
528
BCE บทเพลงนี้เป็นภาษาเยว่โบราณ ซึ่งชาวฮั่นก็แปลไม่ออกและไม่ทราบความหมาย
จนกระทั่งปัจจุบันนักภาษาศาสตร์ลองเทียบเคียงกับภาษาจ้วงในตระกูล Kra-Dai จึงสามารถแปลได้
หรือไม่ภาษาตระกูล Kra-Dai อาจเก่าแก่กว่า Austronesian ด้วยซ้ำ
อ้างอิงจากงานวิจัยด้านพันธุกรรม ซึ่งกลุ่มชาติพันธุ์ Kra-Dai มีความใกล้ชิดกับกลุ่ม
Hmong-Mien
มากกว่า ไม่แน่
Austronesian
ต่างหากที่เป็นกลุ่มที่แยกตัวออกไปภายหลัง
และมีพัฒนาการทางภาษาเปลี่ยนไปเป็นแบบ non-tonal
แม้ว่าในปัจจุบันกลุ่มชาติพันธุ์จ้วงจะอาศัยอยู่ในกว่างซี
แต่เมื่อหลายพันปีก่อนคงมีบรรพบุรุษอาศัยอยู่บริเวณปากแม่น้ำหยางจื่อ
และอาจเป็นชนพื้นเมืองในวัฒนธรรมเหลียงจู
มีตำนานและเพลงพื้นบ้านหลายสำนวนกล่าวถึงกำเนิดโลกและที่มาของการปลูกข้าว
มีสำนวนหนึ่งที่ อ.ทองแถม นาถจำนง แปลไว้ อ่านได้ที่นี่
http://www.thaipoet.net/index.php?lay=show&ac=article&Id=538784547&Ntype=2
เดิมทีฟ้าดินยังไม่แยกจากกัน ในความเวิ้งว่างเปล่ามีไข่ใบหนึ่ง
ข้างในมีไข่แดงสามก้อน มีแมงบึ้งขี้ควาย (แมลงปีกแข็งชนิดหนึ่ง)
กลิ้งไข่ใบนี้ให้หมุนอยู่ตลอดเวลา
ต่อมามีเพลี้ยจักจั่นมาเจาะรูไข่ใบนั้นทุกวันจนกระทั่งไข่แตก
ไข่แดงทั้งสามกลายเป็น ผืนฟ้า ผืนน้ำ และผืนดิน
ต่อมามีดอกไม้ดอกหนึ่งผุดขึ้นบนแผ่นดิน
เมื่อมันเบ่งบานก็ให้กำเนิดหญิงสาวผู้หนึ่งเรียกว่า แม่เล่ากั๊บ หรือ
หมู่ลั่วเจี่ย (姆洛甲) ในสำนวนของ
อ.ทองแถม เรียกว่า แม่นกจอก
นางเกิดมารู้สึกอ้างว้างเดียวดายจึงนั่งยองแล้วฉี่ลงบนพื้นดิน (เกี่ยวกันมั้ย?) จากนั้นก็เอาดินโคลนตรงนั้นมาปั้นเป็นรูปคนหลายรูป
ผ่านไป 49 วัน
ดินโคลนเหล่านั้นก็มีชีวิตขึ้นมาเป็นมนุษย์ แต่ยังมีเพียงเพศเดียว
แม่เล่ากั๊บจึงเก็บลูกท้อและพริกขี้หนูจากในป่าแล้วโยนยังกลุ่มคน
ผู้ที่เก็บลูกท้อจึงมีอวัยวะเพศหญิง
ผู้ที่เก็บพริกขี้หนูจึงมีอวัยเพศชายมานับแต่นั้น
เรื่องราวตอนนี้คล้ายคลึงกับตำนานกำเนิดโลกโดย ผานกู่ (盤古) และหนี่ว์วา (女媧)) สร้างมนุษย์ของชาวฮั่น
(ซึ่งน่าจะได้รับอิทธิพลมาจากชนพื้นเมืองทางใต้อีกที)
ในยุคแรกเริ่ม ผืนฟ้าปกครองโดย ตัวฟ้า (หรือ พญาแถน) ผืนน้ำปกครองโดย
ตัวเงือก (หมายถึง งู มังกร หรือ นาค) ผืนป่าปกครองโดย ตัวเสือ (บางสำนวนก็ไม่มี)
ในขณะที่ผืนดินปกครองโดย ผู้หลวกทั่ว หรือ ปู้ลั่วถัว (布洛陀) มนุษย์ผู้ชาญฉลาดรอบรู้ไปทั่ว
สอนให้ผู้คนรู้จักใช้ไฟ สร้างบ้าน ปลูกพืช ประดิษฐ์สิ่งต่าง ๆ ไว้ใช้สอย
รวมทั้งกลองมโหระทึก จึงมีชื่อเรียกดังกล่าว ทั้งสี่เป็นพี่น้องกัน
แต่พี่ทั้งสามนั้นอิจฉาผู้หลวกทั่วน้องเล็ก
คอยหาเรื่องกลั่นแกล้งรวมทั้งสร้างความเดือดร้อนให้มนุษย์อยู่เสมอ
รายละเอียดส่วนนี้อ่านได้ใน link ด้านบน
อยู่มาวันหนึ่ง อาหารการกินบนโลกเริ่มขาดแคลน
ผู้หลวกทั่วจึงสั่งให้หมาเก้าหางขึ้นไปบนฟ้า
เพื่อขโมยเมล็ดพันธุ์ข้าวมาปลูกบนแผ่นดิน
เจ้าหมาเก้าหางขึ้นไปก็เกลือกกลิ้งทิ้งตัวลงบนต้นข้าว
ทำให้เมล็ดข้าวติดหางทั้งเก้าของมันเป็นจำนวนมากพอ
เมื่อคนบนฟ้ามาเห็นเข้าก็ขว้างขวานเข้าใส่หมายสังหาร แต่พลาดไปตัดหางทั้งแปดของมัน
หมาเก้าหางจึงเหลือหางเดียวและรอดตายนำพันธุ์ข้าวกลับสู่โลกมนุษย์ได้หวุดหวิด
เมื่อได้เมล็ดข้าวมาแล้ว ผู้หลวกทั่วจึงสั่งให้หมูกับหมาเก้าหาง
(ที่เหลือหางเดียว) ไปไถดิน เจ้าหมาเริ่มขี้เกียจ
เพราะถือว่าตนเสี่ยงตายขโมยพันธุ์ข้าวมาแล้ว จึงอู้งานงีบหลับ
ในขณะที่หมูใช้จมูกปลายแหลมของมันไถดินอย่างขยันขันแข็งจนเสร็จแล้วนอนหลับพักผ่อน
เจ้าหมาเห็นดังนั้นก็ย่ำไปในโคลน ฝากรอยเท้าเอาไว้ ทำทีว่าตนก็ช่วยงานเหมือนกัน
เมื่อผู้หลวกทั่วมาตรวจงาน ถามว่าใครเป็นผู้ไถดิน
ทั้งหมูและหมาต่างก็บอกว่าตัวเองทำ หมาชี้ให้ดูรอยเท้า
ในขณะที่หมูยื่นจมูกเปื้นโคลนของมันให้ดู ผู้หลวกทั่วเชื่อหมู
หมาโกรธหมูจึงเอาเท้าตะปบจมูกหมูจนบี้แบนอย่างที่เห็นทุกวันนี้
ผู้หลวกทั่วดุว่าหมา และไม่ยอมให้มันกินข้าว ต่อมาเมื่อต้นข้าวงอกงามจึงแตกรวงคล้ายหางหมามานับแต่นั้น
(ดูแล้วคล้าย foxtail millet แต่อาจจะหมายถึงข้าวก็ได้เหมือนกัน)
สำนวนอื่นจะเล่าต่างกันตรงที่ หมาได้กินข้าว ส่วนหมูต้องกินรำ
เพราะเจ้าของ (เป็นคนอื่น ไม่ใช่ผู้หลวกทั่ว) เชื่อหมา อีกสำนวนก็ว่า
ควายเป็นผู้ไถนา ไม่ใช่หมู เจ้าของก็เชื่อหมาอีก ทำให้ควายได้กินแต่หญ้า
เป็นที่มาของสำนวน “ควายไถนา หมากินข้าว” หมายถึง คนทำงานไม่ได้หน้า
คนเอาหน้าไม่ได้ทำงาน
ชาวจ้วงค่อนข้างผูกพันกับหมา ตามหมู่บ้านจะมีรูปปั้นหมาตั้งอยู่เสมอ
สะท้อนความเชื่อตามนิทานที่หมาเป็นผู้มีคุณ นำพันธุ์ข้าวมาให้มนุษย์
หรือไม่ความเชื่อเรื่องหมานี้อาจได้รับอิทธิพลมาจากชาวเมี่ยน (เหยา)
จากตำนานเรื่อง ผานฮู่ (盤瓠) ราชบุตรเขยหน้าหมา
ซึ่งชาวเมี่ยนนับถือว่าเป็นบรรพบุรุษของพวกเขา ตำนานผานฮู่ยังอาจเป็นต้นแบบของ
อินุงามิ (犬神) ในตำนานของญี่ปุ่นด้วยก็เป็นได้
เพราะชาวญี่ปุ่นยุค Neolithic โดยเฉพาะบนเกาะคิวชู
มีความเชื่อมโยงกับชนเผ่าลุ่มแม่น้ำหยางจื่อตามที่กล่าวไว้ในบทก่อนหน้า
บทบาทของ ผู้หลวกทั่ว มีความคล้ายคลึงกับ เสินหนง ในฐานะ cultural hero ผู้มีส่วนสำคัญในการกสิกรรม
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ข้าว ซึ่งไม่ได้เป็นแค่อาหารหลัก
แต่การทำนายังเป็นวิถีชีวิตหลักของผู้คนในจีนตอนใต้
รวมทั้งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มาตลอดระยะเวลาหลายพันปีจนถึงปัจจุบัน
ในภาพประกอบคือ ผู้หลวกทั่ว ในทุ่งนาและ totem แบบเหลียงจู
วาดตามจินตนาการ based on วัฒนธรรมเหลียงจูและ
Austronesian
Comments
Post a Comment